การชุมนุม 19 กันยายน 2563 การชุมในครั้งนี้อาจจะสร้างประวัติศาสตร์การชุมนุมครั้งที่ใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่การรัฐประหารในปี 2557 และเชื่อว่าจะมีผู้ที่จะมาร่วมการชุมนุมประท้วงรัฐบาลในครั้งนี้มากถึงหนึ่งแสนคน ตอนแรกที่จะของใช้พื้นที่การชุมนุมของ ม.ธรรมศาสตร์ แต่ก็ถุกห้าม จากผุ้บริหารสถานศึกษาเนื่องจากผิดจากระเบียบเงื่อนไข แต่ผุ้ชุมนุมก้ยังสู้ไม่ถอยและจะนำมวลชนเข้าไปใช้พื้นที่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
ทางด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจก็คาดการว่าจะมีผุ้ชุนนุมมาประท้วงราวหน้าหมื่นคน และเตือนผุ้ชุมนุม ว่าการเดินขบวนไปยังทำเนียบรับบาลอาจเป้นการกระทำผิดกฏหมาย หรือการห้ามชุมนุมประท้วงกันในสถานที่สำคัญ
นายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันท์รโอชา กล่าวว่า จะยอมให้มีการประท้วงการชุมนุมภายใต้สิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง แต่จะไม่ยอมรับขอเรียกร้องบางประการของผุ้ชุมนุมประท้วง และยังเตือนว่าการประท้วงในครั้งนี้อาจจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของเชื้อสายพันธุ์ใหม่โควิด – 19 และเรียกร้องให้ผุ้ชุมนุมประท้วงคำนึงถึงวิกฤตด้านสาธารณสุขก่อนปัยหาทางการเมือง
การชุมนุม เข้มข้นขึ้น
ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมามีการเคลื่อนไหวของกลุ่มเยาวชนนักศึกษาที่ออกมาเรียกร้อง และนัดหมายการชุมนุมเพื่อเรียกร้องสิทธิเสรีภาพ และให้นายกรัฐมนตรีลาออกจากตำแหน่ง โดยใช้พื้นที่ดิจิทัล หรือโซเซียลมีเดีย ในการเผยแพร่ข้อมูลข้อเรียกร้องและนัดหมายการชุมนุม
ทางด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจได้จัดกองกำลังกว่าหมื่นนายเพื่อดูแล การชุมนุมประท้วง พ.ต.อ. กฤษณะ ระบุว่าได้รับคำสั่งจากทางนายกรัฐมนตีโดยตรง ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทุกนายปฏิบัติกับผู้ชุมนุมโดยละมุนละม่อม และให้ใช้หลักความอดทนอดกลั้น ดดยไม่มีการให้ใช้กำลังใดๆต่อผุ้ชุมนุม ส่วนแผนการจากกฏการชุมนุม 52 เป็นแผนการชุมนุม 63 ยืนยืนว่าไม่ใช่การจัดการกับผุ้กลุ่มชุมนุม แต่เป้นการนำข้องผิดพลาดของบทเรียนเก่ามาประปรุงให้มีแผนและทันสมัยเป็นสากลมายิ่งขึ้น
หากยังจำกันได้ตั้งแต่ตอนแรกที่เริ่มจัดการชุมนุมแค่ออกมาเรียกร้อง สาม ข้อ คือ แก้ไขรัฐธรรมนูญ และหยุดคุกคามประชาชน และยุบสภา ทั้งนี้สถานะการก้ได้เริ่มบานปลายเรื่อยมา ทั้งกลุ่มรักเรียน นักศึกษา หรือในนาม เยาวชนปลดแอก จัดกิจกรรมการชุมนุมที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย และจึงยกระดับมากลายเป็น ประชาชนปลดแอก เพื่อออกมาขับไล่ นายกรัฐมนตรีพลเอกประยุทธ์ จันท์รโอชา และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และรัฐบาลบิ๊กตู่
ผลสุดท้ายของการประท้วงจะเป้นอย่างไรเราก็ต้องค่อยติดตามกันต่อ ใครจะเป้นฝ่ายผิดหวัง และใครจะเป็นฝ่ายที่สมหวัง ระหว่างฝ่ายรัฐบาลกับฝ่ายผุ้ชุมนุมประท้วง หรือนักการเมือง แต่ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหนที่ชนะก้คงไม่สำคัยเท่ากับการที่จะเกิดเหตุความรุนแรงระหว่างการชุมนุม เพราะนั้นเป็นการหมายถึง ทุกคนในประเทศเป็นฝ่ายแพ้
มันจะมีประโยชน์อะไรที่ไม่ว่าฝ่ายไหนจะเป้นฝ่ายชนะแต่ต้องชนะบนเศษซากหักพังของประเทศไทย
เครดิต. evalfor.com